วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

แม่นมา..ทำนายเนื้อคู่จากส่วนสูงและน้ำหนัก


Advertisements


ไม่ว่าจะสูง ต่ำ ดำ ขาว ทุกคนล้วนมีดวงเนื้อคู่เป็นของตัวเองทั้งนี้นค่ะ วิธีการ ทำนายคู่ วิธีการนี้ เป็นวิธีการง่ายๆ เพียงแต่คุณนำส่วนสูงและน้ำหนักของคุณ มาบวกกัน (วัดให้แม่นยำ เพราะการทำนายจะแม่นยำตามไปด้วย) ผลบวกได้เท่าใด ให้คุณดูที่หลักหน่วย เอาผลหลักหน่วยนั้นไปทำนาย ดูดวงความรัก

เช่น คุณสูง 165 cm. หนัก 50 kg. ก็จะมีวิธีคำนวณ ได้ดังนี้ 165 + 50 = 215 เสร็จแล้วให้นำเศษหลักหน่วยที่ได้ (ในตัวอย่างนี้คือ 5) มาดูคำทำนายเนื้อคู่กันได้เลย

เหลือเศษ 0

ดูดวงเนื้อคู่ ของคุณจะมีลักษณะนิสัยดี ฐานะดี เป็นคนจริงจัง เป็นคนเพื่อนเยอะ ชอบเข้าสังคม เป็นพวกแคทรียาจ๊ะจ๋า เป็นคนถือตัว นิสัยแข็งกระด้าง แต่เป็นคนที่มีความมานะอดทน เป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นมาเอาใจ และต้องการให้มีคนมารายล้อมมากๆ ชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งเป็นคนที่โรแมนติกทีเดียว แต่เป็นคนเจ้าชู้มาก

เหลือเศษ 1

ดวงเนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ ผิวขาวน่ารัก นิสัยเยือกเย็นเจ้าระเบียบ ชอบให้ผู้อื่นมาเอาใจ เป็นคนถือตัว ฐานะมั่นคง เป็นคนชอบให้คุณอยู่ในคำสั่งของเขา ถ้าขัดใจเมื่อไหร่จะไม่พอใจทันที แต่โกรธง่ายหายเร็ว ถ้ารักใครแล้วรักจริง พร้อมที่จะแต่งงานกับคนที่เขารักได้ทันที

เหลือเศษ 2

ดูดวงเนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะ เป็นคนไม่ถือตัว รูปร่างสันทัดผิวสองสี เป็นคนร่าเริง มารยาทเรียบร้อย เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียว เป็นคนง่ายๆ ชอบตามใจคนอื่น ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากนัก เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ช่วงพูดช่างเจรจา เป็นคนนิสัยดี จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใครๆ ก็รัก เป็นคนค่อนข้างเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใครแล้วรักจริงหวังแต่ง

เหลือเศษ 3

เนื้อคู่คุณจะมีลักษณะเป็นคนผิวขาวเหลือง นิสัยเด็ดเดี่ยว ฐานะมั่นคง มีเสน่ห์อยู่ในตัว เป็นคนพูดจาอ่อนหวาน ค่อนข้างจะเป็นคนอ่อนไหว ช่างพูดช่างคุย พูดจาเรื่อยเปื่อย เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเองหมด มีเพื่อนเยอะ มีลักษณะผู้นำ ในการไปไหนมาไหน บางครั้งโรแมนติก ชอบทำให้คนอื่นหลง ชอบไปเที่ยวชมธรรมชาติ

เหลือเศษ 4

เนื้อคู่คุณเป็นคนดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือตัว ฐานะดี ช่างพูด รักอิสระไม่ชอบให้ใครบังคับ เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรแล้วต้องถึงที่สุด เอาจริงเอาจัง มีเหตุผลหนักแน่น ชอบคิดหาเหตุผลในทุกๆ เรื่อง เชื่อมั่นในตัวเองสุดๆ ถ้าคิดจะทำอะไรแล้วอย่าขัด เพราะขัดไปก็เท่านั้น

เหลือเศษ 5

เนื้อคู่คุณจะมีรูปร่างสันทัดผิดขาว ร่าเริง สนุกสนาน ขยันพูด สนุกกับการพูด เป็นคนอ่อนไหว พอสมควร ขี้งอนและขี้หึงสุดๆ แต่บางครั้งก็สุขุมเยือกเย็นและอ่อนน้อม ยากจะคาดเดาได้ พูดจาตรงไปตรงมา เห็นความรักเป็นสิ่งวิเศษ อารมณ์ดี ปากหวาน
Advertisements


เหลือเศษ 6

เนื้อคู่คุณจะมีลักษณะ ผิวขาว นิสัยอ่อนโยน ชอบทุกอย่างที่คุณชอบ ตามใจคุณทุกอย่าง ไม่ชอบอยู่เป็นที่ ชอบที่จะสนุกสนานไปเรื่อยๆ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ต้องการให้คนอยู่ใกล้ๆ มีความสุข เป็นที่รักของคนมากมาย เป็นคนมีเสน่ห์มาก คุณจะติดเขาสุดๆ

เหลือเศษ 7

เนื้อคู่คุณจะมีลักษณะ นิสัยอ่อนโยน พูดจาดี มีเหตุผล ให้ความจริงใจกับความรัก ไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ทำอะไร อ่อนไหวง่าย เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว ช่างประดิษฐ์คิดค้น ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ชอบพึ่งคนอื่น แต่งตัวเนี๊ยบมาก รักความสะอาดโคตร

เหลือเศษ 8

เนื้อคู่คุณจะมีรูปร่างสันทัดผิวสองสี ชอบเอาใจคนอื่น ชอบอยู่กับคนเยอะๆ มีความสุขมากที่ได้พบปะกับคนอื่น ๆ ชอบอะไรง่าย แต่ตัวตามสบาย เป็นคนเปิดเผย จริงจังกับความรักมาก ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยว ขี้หึง

เหลือเศษ 9

เนื้อคู่คุณมีลักษณะผิวขาว เงียบ คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น เป็นตัวของตัวเอง ไม่ค่อยแคร์ใคร ชอบทำอะไรที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ ชอบฝันไปเรื่อยเปื่อย ชอบขัดใจผู้อื่น เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก โรแมนติก แปลกๆ ช่างฝันสุดๆ

ที่มา https://horoscope.thaiza.com/content/65243/

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

มีเคล็ดลับมาแนะนำ กดจุด หยุดอ้วน ได้นะ


Advertisements


ต้อนรับปีใหม่ด้วยหุ่นที่ผอมบางกว่าเดิม มีเคล็ดลับลดความอ้วนมาแนะนำค่ะ เผื่อจะเอาไปลองใช้กันดูบ้าง เคล็ดลับที่ว่าก็คือการกดจุดนั่นเอง ...

จุดที่ 1 หลังกระเพาะอาหาร

ส่วนมากวิธีการกดจุดลดน้ำหนัก จะไม่ใช่การกดปุ๊ปแล้วน้ำหนักลดลงไปทันตาเห็นแน่นอนค่ะ แต่จะเป็นการกดเพื่อผ่อน ลดความอยากรับประทานอาหารเกินความจำเป็นมากกว่า โดยเฉพาะเวลากลางคืนเป็น ต้น เริ่มแรกให้ใช้หลังมือ เคาะจุดด้านหลังของกระเพาะอาหาร จุดที่ว่าอยู่แถวๆ เส้นตรงกลางหลังบริเวณขอบเอวเรานั่นเองค่ะ เคาะซักประมาณ 1 นาที จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วทั้ง 2 มือกดลงไปเบาๆ แถวท้องตรงจุดกึ่งกลางระหว่างลิ้นปี่และสะดือ ค้าง 3 วินาที พัก 3 วินาที กดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซัก 10 ครั้ง แค่นี้ก็จะช่วยลดความอยากอาหารได้แล้ว

จุดที่ 2 ใต้ไหปลาร้า

จุดต่อมาก็ยังคงเป็นจุดที่ช่วยลดความอยากอาหารอีกเช่นเคยค่ะ คราว นี้ย้ายที่มาที่บริเวณกระดูกใต้ไหปลาร้า ค่อยๆ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงไปเบาๆ นะคะ ให้กดไล่ลงไปเรื่อยๆ ตามความยาวของไหปลาร้า ค่อยๆ นวดคลึงไปเรื่อยๆ แล้วมาเปลี่ยนเป็นการเคาะหลังมือเบาๆ คะ สลับกันเคาะระหว่างซ้ายขวา และกรอกตาไปเรื่อยๆ ตามแขนข้างที่เคาะถ้าซ้ายก็กรอกไปทางซ้าย ขวาก็กรอกไปทางขวานะคะ ทำซักประมาณ 10 ครั้งก็พอ เดี๋ยวจะตาลายซะก่อนค่ะ

จุดที่ 3 กระดูกใต้ตาและใบหู

จุดสุดท้ายเป็นกดจุดที่ใกล้ๆ กันสลับกันไปมา 2 จุดนะคะ เริ่มแรกด้วยการนวดคลึงกระดูกบริเวณใต้ตาเบาๆ ซักประมาณ 10 วินาที จากนั้นให้สลับไปนวดคลึงกระดูกเล็กๆ ในใบหูทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กันอีกประมาณ 10 วินาที เสร็จแล้วสลับไปมาแบบนี้ซัก 5 ครั้งก็พอค่ะ

เป็นไงบ้างคะกับเคล็ดลับวิธีสกัดความอ้วนด้วยการกดจุดง่ายๆ ที่เรามาแนะนำในวันนี้ วิธีที่ว่าทั้งหมดถึงแม้ดูแล้วอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันจะไปช่วยยังไงแต่ จากผลการทดลองผู้ที่ใช้วิธีนี้มาแล้วกว่า 70% ปรากฏว่าน้ำหนักตัวลดลงนะคะ เอาเป็นว่าสิบปากว่าไม้เท่าตาเห็น ของแบบนี้ต้องลองเองค่ะ
Advertisements


ที่มา ... chicministry.com

จริงดิ...ไวน์แดงมีประโยชน์ต่อหัวใจ? อย่าอ่านแค่พาดหัว


Advertisements


เพื่อนฝูงหลายคนที่ชอบกินเหล้ามาคุยอวดว่าผลวิจัยของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศยืนยันนั่งยันแล้วว่าการดื่มไวน์แดงเป็นประโยชน์ต่อหัวใจ

ผู้คนที่ฟังแค่นั้นก็รีบวิ่งไปหาไวน์แดงมาดื่มกันเป็นการใหญ่ ส่วนคนที่ก๊งเหล้าเป็นประจำก็มีข้ออ้างขึ้นมาใหม่, ตั้งวงดวดแอลกอฮอล์คราใด, ก็จะอ้างผลวิจัยที่ว่านี้มาเป็นเหตุผลที่จะต้องตั้งหน้าตั้งตา “ออกกำลังกายด้วยการยกแขน” (เพื่อกรอกเหล้าในปากตัวเอง)

แต่ขอเตือนทุกท่านก่อนที่ใครจะมาบอกกล่าวข่าวที่ “จริงเพียงครึ่งเดียว” ว่าด้วยไวน์แดงกับโรคหัวใจว่าอย่าได้หลงเชื่อ (เพราะอยากจะเชื่ออยู่แล้ว) จนถอนตัวไม่ขึ้นเพราะไม่ยอมสร่างเมาเสียที

ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์หมอหัวใจคนดังของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชื่อ Dr Thomas H. Lee ในนิตยสารนิวสวีคที่ตอบคำถามเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จึงขอถ่ายทอดมาให้แฟน ๆ ชาวชีวจิตได้รับทราบเพื่อไม่กลายเป็นเหยื่อของข้อมูลครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่อ่านแค่พาดหัวข่าวเท่านั้น

ถาม...ไวน์ดีสำหรับสุขภาพจริงหรือ? ถ้าจริง, เราควรจะดื่มวันละเท่าไหร่?

ตอบ...ไม่มีใครควรจะเริ่มต้นดื่มแอลกอฮอลด้วยจุดประสงค์เพื่อทำให้สุขภาภาพของตัวเองดีขึ้น (แปลว่าถ้าไม่ดื่มเหล้าอยู่แล้ว, ก็อย่าได้ริอ่านหาทางกินเหล้าเป็นประจำเพราะเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้น) และแต่เดียวกันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนที่ดื่มเหล้าในประมาณพอประมาณจะหยุดดื่มทั้งหมด

ถาม...คำว่า “พอประมาณ” คือเท่าไหร่?

ตอบ...”พอประมาณ” (moderate) หมายถึงหนึ่งหรือสองจอกสำหรับผู้ชาย และหนึ่งจอกสำหรับผู้หญิง (หมอคนนี้ใช้คำว่า “one or two drinks” ในภาษาอังกฤษซึ่งปริมาณหนึ่งดริ้งก์คือเท่าไหร่แน่ ๆ ก็ย่อมจะขึ้นอยู่ที่ว่าแก้วเหล้าคุณใหญ่หรือเล็กแค่ไหนเช่นกัน)...ที่บอกว่าผู้หญิงควรจดื่มน้อยกว่าผู้ชายนั้นก็เพราะสัดส่วนของร่ายกายที่เล็กกว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเพศของคนดื่มโดยตรง

ถาม...ทำไมคนดื่มพอประมาณจึงมีอัตราเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนอื่น?

ตอบ...อาจจะเป็นเพราะว่าแอลกอฮอลมีส่วนทำให้ยกระดับของโคเลสโทรอลแบบ HDL (ที่เรียกว่าโคเลสโทรอลแบบดี) ให้สูงขึ้น และนักวิจัยบางคนบอกว่าที่ไวน์แดงดูเหมือนจะมีผลทางด้านบวกในเรื่องนี้ก็เพราะมันมีสารที่สามารถปกป้องผนังเส้นเลือดหัวใจที่เรียกว่า flavonoids และสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) อื่น ๆ แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine เมื่อปี ๒๐๐๓ พบว่าแอลกอฮอลเกือบทุกชนิดก็มีประโยชน์แบบเดียวกันเช่นนี้เฉกกัน
Advertisements


ถาม..ถ้าแอลกอฮอลมันมีประโยชน์ต่อหัวใจอย่างนี้, ยิ่งดื่มมากมิยิ่งดีหรือ?

ตอบ...สำหรับเจ้าแอลกอฮอล์แล้ว, ตรรกะอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เพราะพอมันมีมากเกินไป, แอลกอลฮอล์ก็ไปทำให้อัตราความเสี่ยงของโรคหัวใจสูงขึ้นเพราะความดันโลหิตจะพุ่งขึ้นและกล้ามเนื้อของหัวใจก็จะอ่อนแอลง อีกประการหนึ่ง, แอลกอฮอล์มีแคลอรี่สูงมาก, ดังนั้น ใครที่ดื่มมากก็จะมีแนวโน้มที่น้ำหนักจะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และนั่นก็จะเพิ่มความเสี่ยงกับการทำให้เป็นโรคเบาหวานได้

นี่คือคำแนะนำที่ชัดถ้อยชัดคำที่สุดในประเด็นนี้ตั้งแต่มีการออกข่าวเป็นระยะ ๆ ว่าใครอยากจะป้องกันโรคหัวใจก็ให้ดื่มเหล้าโดยเฉพาะไวน์และผู้สันทัดกรณีในวงเหล้าอ้างผลการวิจัยต่ออีกว่าจะต้องเป็น “ไวน์แดง” เสียด้วย

แต่ความจริงมิได้เป็นอย่างที่เล่าต่อกันปากต่อปากแต่อย่างไรไม่ เพราะของดี ๆ นั้นมักจะเป็นดาบสองคมเสมอ,ไม่ว่าจะเป็นไฟหรือน้ำ...อะไรที่มีคุณอนันต์ก็ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน

ดังนั้น, ใครก็ตามที่มาบอกคุณว่าดื่มไวน์แล้วหัวใจจะดี, ก็อย่าได้เชื่อเขาทั้งหมด เพียงรับทราบว่ามีการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ที่ปรากฎผลออกมาว่าในไวน์แดงมีสารบางชนิดที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นศัตรูต่อหัวใจได้

แต่อย่าได้ไปด่วนสรุป (เพราะพวกขี้เมาอยากจะสรุปอย่างนั้นอยู่แล้ว) ว่าการกินเหล้าเป็นหนทางแห่งการป้องกันปัญหาโรคหัวใจ

หรือคนที่มีปัญหากับสุขภาพทางใจของตัวเองเกิดหลงเชื่อเพียงเพราะอ่าน “พาดหัวข่าว” แล้วไปปักหลักตั้งวงเหล้าเพื่อก๊งเป็นประจำทุกค่ำคืน, ก็จะตายเร็วขึ้น เพราะเขาอาจจะไม่ตายจากโรคหัวใจ แต่ไม่ช้าไม่นานก็อาจจะตายด้วยโรคตับหรือไม่โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงก็จะถามหาอย่างร้อนรน

ความจริง, เจ้า “antioxidants” ที่หมอทั้งหลายเชื่อว่าสามารถต่อสู้กับโรคร้ายทั้งหลายในร่างกายของเรานั้นสามารถหาได้จากอาหารต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไวน์หรือเหล้า...เช่นพืชผักผลไม้ที่ถูกกว่าเหล้าและมีผลข้างเคียงอย่างอื่นน้อยกว่ามากมายนัก

ดังนั้น, ถ้าเพื่อนของคุณมาชวนไปก๊งเหล้าโดยอ้างผลวิจัยทางการแพทย์ว่าจะทำให้หัวใจแข็งแรงก็บอกเขาไปด้วยว่า

สองจอกแรกพอจะกล้อมแกล้มว่ามีประโยชน์ต่อหัวใจได้

แต่พอจอกที่สาม, ก็จะกลายเป็นการเริ่มผูกมิตรกับยมบาลเข้าแล้ว...ขอลากลับบ้านก่อน, ปลอดภัยกว่าเป็นไหน ๆ

ที่มา ... oknation.net/blog/suthichai
Advertisements


วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

บอกต่อ นี่คือวิธีการออกกำลังกายแต่ละอย่างช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้


Advertisements

วิธีการออกกำลังกายแต่ละอย่างช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้แตกต่างกันไป ตั้งแต่ปวดท้อง เครียด ไปจนถึงโรคเหงือก

วงการแพทย์ได้ค้นพบหลักฐานยืนยันว่า โรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดสามารถเยียวยาได้ด้วยการออกกำลังกายให้เหมาะสม ดังตัวอย่างต่อไปนี้

โรคลำไส้แปรปรวน

วิธีแก้ : โยคะ

ความถี่ : สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง

เหตุผล : โรคนี้ยังไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด วินิจฉัยและรักษาได้ยาก อาการอาจมีเช่น ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย เสียดท้อง แต่นักวิจัยพบว่าการบำบัดที่เน้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจจะให้ผลดี ผู้เชี่ยวชาญด้านลมในลำไส้ของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ในเมืองแวนคูเวอร์ พบว่า โยคะสามารถบำบัดอาการนี้ได้

ผู้ที่ได้เรียนโยคะโดยใช้คู่มือสอนทางดีวีดี และได้เล่นโยคะสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง มีอาการเกี่ยวกับท้องไส้ลดน้อยลงอย่างมาก และมีความวิตกกังวลน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มเปรียบเทียบซึ่งออกกำลังกายแบบธรรมดา

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม พบว่า การทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย รวมทั้งโยคะ สัปดาห์ละ 5 วัน ช่วยลดอาการนี้ได้

เหตุที่ช่ว ยได้นั้น เพราะนอกจากโยคะช่วยบำบัดร่างกายแล้วยังช่วยบำบัดจิตใจด้วย

วิธีแก้อื่น ว่ายน้ำหรือเล่นแอโรบิกในน้ำ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

โรคเหงือก

วิธีแก้ : แอโรบิก

ความถี่ : เต้นแอโรบิกครั้งละ 45 นาที-1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง

เหตุผล : แต่ก่อนวิธีป้องกันโรคเหงือกก็คือ แปรฟันและใช้ไหมขัดฟัน แต่งานวิจัยซึ่งศึกษาประชาชน 12,000 คน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Periodontology ระบุว่า คนที่เต้นแอโรบิกมีแนวโน้มลดลง 40% ที่จะเป็นโรคติดเชื้อที่เหงือก ซึ่งจะทำให้ฟันหลุด และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ ในสหรัฐ พบว่า การออกกำลังกายปานกลาง สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หรือออกกำลังกายอย่างหนัก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง บวกกับการกินอาหารที่มีประโยชน์และรักษาอนามัยช่องปาก ช่วยลดโอกาสเป็นโรคเหงือกได้

วิธีแก้อื่น ปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายเทียบได้กับการเต้นแอโรบิก

ความดันโลหิตสูง

วิธีแก้ : เดินออกกำลัง

ความถี่ : 30-60 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

เหตุผล : การเดินไต่ไปตามภูเขาหรือก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ ช่วยได้มาก นักสรีรศาสตร์ของสถาบันวิจัยโอเรกอน พบว่า การเดินไต่ไปตามก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น

พื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอจะกดจุดที่ฝ่าเท้า ช่วยให้เลือดลมเดินสะดวกขึ้น การกดจุดตามร่างกายช่วยให้ช่องทางที่อุดตันต่างๆ โล่งขึ้น การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะเผาผลาญแคลอรีมากกว่าการเดินบนพื้นที่ราบเรียบ

ในงานวิจัยของโอเรกอน ซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Geriatrics Society ดร.ฟูจง ลี ได้ขอให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งเดินบนแผ่นตะปุ่มตะป่ำเป็นเวลา 60 นาที และอีกกลุ่มขอให้เดินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 16 สัปดาห์

เมื่อสิ้นระยะเวลาศึกษา กลุ่มที่เดินบนแผ่นก้อนกรวดจำลอง ได้รับประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ รวมทั้งความดันโลหิต งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งเสนอต่อสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน ระบุว่า ไทเก็กช่วยลดความดันโลหิตในผู้สูงอายุได้มากเกือบเท่ากับการออกกำลังกายปานกลาง เช่น การวิ่ง

โรคกระดูกพรุน

วิธีแก้ : วิ่ง

ความถี่ : 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน

เหตุผล : กิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระทบหนักๆ เช่น กระโดดบนพื้น ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และการวิ่งจะให้ผลดีที่สุด

ในงานวิจัยเมื่อต้นปีนี้ ศาสตราจารย์แพม ฮินตัน แห่งภาควิชาโภชนศาสตร์และสรีรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิสซูรี ได้เปรียบเทียบผลระยะยาวของการวิ่ง การปั่นจักรยาน และการยกน้ำหนัก ที่มีต่อมวลกระดูก พบว่า คนที่วิ่งเป็นประจำมีกระดูกสันหลังแข็งแรงที่สุด

เธอแนะนำว่า คนที่ออกกำลังกายแบบไม่มีการรับน้ำหนัก เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ พายเรือ ควรเพิ่มการวิ่งเข้าไปด้วย

วิธีแก้อื่น : เทนนิส บาสเกตบอล และกระโดด ซึ่งล้วนเป็นวิธีที่ร่างกายต้องรับน้ำหนัก

โรคซึมเศร้า

วิธีแก้ : เดิน

ความถี่ : วันละ 30 นาที

เหตุผล : การเดินในสวนสาธารณะหรือป่าเขาลำเนาไพร ช่วยให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น นักวิจัยหลายรายพบว่า การเดินเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะอาการซึมเศร้าระดับต่ำและปานกลาง

องค์การการกุศล Mind ได้สนับสนุนทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยเอสเซ็ก ซึ่งพบว่า การเดินในห้อมล้อมของธรรมชาติ ช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้า ขณะที่การเดินในห้างสรรพสินค้าหรือในเมืองจะเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์

งานวิจัยในสหรัฐระบุว่า การเดินจ้ำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่ากินยาต้านอาการนี้เสียอีก

วิธีแก้อื่น : เล่นว่าว ทำสวน

เบาหวาน

วิธีแก้ : ยกน้ำหนัก

ความถี่ : สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

เหตุผล : ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักได้รับคำแนะนำให้ออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อลดไขมันในร่างกาย และทำให้ควบคุมน้ำตาลกลูโคสได้ดีขึ้น แต่รายงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า การยกน้ำหนักก็เป็นประโยชน์เช่นกัน

ศาสตราจารย์โรบิน มาร์คัส แห่งสมาคมกายภาพบำบัดอเมริกัน ได้ขอให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เข้าร่วมในโปรแกรมออกกำลังกายเป็นเวลา 16 สัปดาห์

ครึ่งหนึ่งของคนไข้เหล่านี้ออกกำลังกายด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงอย่างเดียววันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ขณะที่อีกครึ่งเพิ่มการยกน้ำหนักสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เข้าไปด้วย

ผ่านไปสามเดือน ทั้งสองกลุ่มมีไขมันในร่างกายน้อยลง และควบคุมกลูโคสได้ดีขึ้น แต่กลุ่มที่ยกน้ำหนักยังมีดัชนีมวลกายลดลง และมีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้นด้วย

วิธีแก้อื่น : การยกน้ำหนักไปพร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่เรียกว่า Body Pump เป็นการผสมวิธีออกกำลังทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน ควรทดลองทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

ปวดหัว

วิธีแก้ : ปั่นจักรยาน

ความถี่ : 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

เหตุผล : สำหรับคนที่ปวดหัวเป็นประจำบางราย การออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังไม่รู้ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น นักวิจัยหลายรายแนะนำว่า การปั่นจักรยานหรือตีกรรเชียงในร่มอาจช่วยทุเลาได้ เพราะเป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอนโดรฟีน ซึ่งให้ความรู้สึกดี และเป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติ

งานวิจัยใน Journal of Head and Face Pain ระบุว่า การปั่นจักรยานในร่มหรือกลางแจ้ง ช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวลงได้ 90%

ดร.เอมมา วาร์กีย์ แห่งศูนย์บำบัดอาการปวดหัวซีฟาเลในเมืองโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ได้ศึกษาผู้ใหญ่ 68,000 คน พบว่า คนที่ไม่ออกกำลังกายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 14% ที่จะมีอาการปวดหัว

การปั่นจักรยานมีประโยชน์ เพราะช่วยกระจายออกซิเจน การปั่นจักรยานไม่มีการกระทบกระแทกเหมือนการวิ่ง หรือเต้นแอโรบิก ซึ่งบางครั้งทำให้ปวดหัว

เป็นไปได้ว่า อาการปวดหัวขณะออกกำลังกายเกิดจากการขาดน้ำ หรือมีน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะกินคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไปก่อนหน้าออกกำลังกาย

วิธีแก้อื่น : เล่นโยคะเป็นประจำ งานวิจัยของศูนย์การแพทย์เดวิส มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ชี้ว่า อาการปวดหัว 75% เกิดจากกล้ามเนื้อที่ต้นคอตึงตัว เนื่องจากท่าทางในชีวิตประจำวัน โยคะช่วยลดปัญหานี้ได้ ซึ่งจะช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัว.
Advertisements

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เปลี่ยนการออกกำลังกายแบบธรรมดาให้เป็นการออกกำลังกายลดความอ้วน

เปลี่ยนการออกกำลังกายแบบธรรมดาให้เป็นการออกกำลังกายลดความอ้วน

การออกกำลังกายลดความอ้วน เป็นส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การลดความอ้วนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน สาวๆต้องทำควบคู่ไปกับการควบคุมน้ำหนักและต้องทำแบบถูกวิธีด้วย เพราะการออกกำลังกายหากไม่ถูกวิธีก็จะไม่สามารถลดความอ้วนได้ดีเท่าที่ควร วันนี้เรมีวิธีการออกกำลังกายแบบธรรมดาให้เป็นการออกกำลังกายลดความอ้วนมาฝากค่ะ

1.การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วการออกกำลังกานด้วยการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 435 แคลอลี่ต่อชั่วโมง และยังเป็นการออกกำลังกายที่ถือได้ว่าดีที่สุดเพราะสามารถออกกำลังกายได้ทุกส่วน และยังใช้อุปกรณ์ในการออกำลังกายเพียงน้อยนิดอีกด้วย สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่งในครั้งแรกควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งระยะสั้นให้ร่างกายเริ่มชินก่อน เมื่อร่างกายชินและอยู่ตัวแล้วให้ทำการวิ่งให้เร็วที่สุด หรือที่เรียกว่า การทำคาดิโอ เพื่อเร่งการสะลายไขมันให้มากที่สุด ขณะที่ร่างกายกำลังทำการเผาผลาญ

2.การออกำลังกายด้วยการเดิน
การเดินแบบปกติในระยะทางที่สม่ำเสมอจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ 167 แคลอลี่ต่อชั่วโมง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวๆที่มีปัญหาในการวิ่งเพราะมีน้ำหนักตัวที่มาก การเดินควรเริ่มจากการเดินแบบช้าๆเพื่อให้ร่างกายพร้อม จากนั้นให้เริ่มความเร็วให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเดินได้ การเดินช่วงนี้จะช่วยเป็นการออกกำลังกายลดความอ้วนที่ได้ผลดีที่สุด

3.การออกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน
การออกำลังกายด้วยการปั่นจักยานเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้มากถึง 508 แคลอลี่ต่อชั่วโมง และนับเป็นการออกกำลังกายลดความอ้วนที่เห็นผลได้เร็วที่สุด แต่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นผู้ที่เหมาะกับการออกกำลังกายแบบนี้เท่านั้น เพราะการออกำลังกายด้วยวิธีนี้ต้องอาศัยความพร้อมของร่างกาย การเริ่มกำลังกายด้วยการปั่นจักยานสามารถทำได้เรื่อยๆไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นระยะทางเป็นสำคัญ การปั่นจักรยานจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อขา และสะโพกกระชับขึ้นกว่าเดิม

4.การออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ
การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึง 653 แคลอลี่ต่อชั่วโมง และยังเป็นการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อร่างกายมาก เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนเพราะการว่ายน้ำสามารถเผาผลาญพลังงานยังช่วยให้มีเอวที่เล็กลง หากคุณสาวๆว่ายน้ำเป็นประจำรับรองว่านอกจากจะลดความอ้วนได้แล้วยังมีเอวที่สวยแถมมาอีกด้วย

เพียงคุณสาวๆเปลี่ยนการออกกำลังกายแบบปกติมาเป็นการออกกำลังกายลดความอ้วนในแบบที่ถูกต้อง ไม่เพียงจะช่วยทำให้รูปร่างดีและน้ำหนักลด การออกกำลังกายยังช่วยทำให้ร่างกายคุณสาวๆมีสุขภาพแข็งแรงด้วยค่ะ

เทคนิคง่ายในการออกกำลังกายลดหน้าท้อง

เทคนิคง่ายในการออกกำลังกายลดหน้าท้อง

เชื่อว่าการจะหาเวลาเพื่อไปออกกำลังกายลดหน้าท้องเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับหนุ่มสาวในปัจจุบัน เพราะต้องอาศัยทั้งเวลาและทรัพย์สิน แต่หน้าท้องที่แบนราบก็เป็นสิ่งที่ทั้งหนุ่มๆและสาวๆใฝ่ฝันต้องการที่จะได้มาทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย วันนี้เราจึงนำท่าบริหารร่างกายเพื่อลดหน้าท้องแบบง่ายๆและไม่ต้องใช้เวลามากมาให้ลองทำตามกันดูค่ะ

ท่าออกกำลังกายลดหน้าท้องง่ายๆใน 10 นาที

ท่าซิทอัพ

1.ท่าซิทอัพถือเป็นท่าบริหารกล้ามท้องที่เรียกได้ว่ายากที่สุดในบรรดาท่าบริหารหน้าท้องทั้งหมด เพราะเป็นท่าที่ทำแล้วเห็นผลจริงและเห็นผลไว ท่านี้จะเริ่มจากจัดท่าทางให้นอนหงาย จากนั้นเหยียดขาให้ตรง ลัวยกมือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย แล้วเกร็งหน้าท้องไว้พร้อมๆกับดันตัวขึ้นมา

2.จากนั้นค่อย ๆ ผ่อนลำตัวแล้วนอนราบลงเหมือนเดิม ให้ทำซ้ำกันไปเรื่อย 15 ครั้ง สำหรับผู้ที่ทำเป็นประจำ แต่สำหรับผู้ที่ทำในครั้งแรกให้ทำเท่าที่ร่างกายรับก่อน เพราะหากหักโหมมากไปอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้

ท่าเกร็งท้อง และงอตัว

ท่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยฟิตกล้ามท้องแต่ท่านี้ยังช่วยทำให้เรียวขากระชับขึ้นด้วย

1.เริ่มด้วยจัดท่าทาง โดยให้นอนหงาย และทำการเหยียดแขนให้ตรง จากนั้นก็ดันลำตัวขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้สามารถเหยียดแขน และเหยียดขาได้ตรงขึ้น

2.จากนั้นให้งอลำตัวแล้วทำการเกร็งหน้าท้องเอาไว้ จากนั้นให้ค่อยๆโน้มตัวลงแล้วพยามเอามือไปจับที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างแล้วเงยหน้านอนลงเหมือนท่าเดิม ให้ทำแบบนี้เรื่อยจนครบ 15 ครั้ง หากใครทำได้มากก็กว่าก็สามารถทำเกินได้ แต่ถ้าใครไม่สามารถทำได้ถึงก็ทำเท่าที่ร่างกายจะไหว

ท่าเกร็งกล้ามท้องด้านล่าง

ท่าบริหารท่านี้นอกจากจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องยังช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้อีกด้วย

1.เริ่มด้วยการจัดท่าทางให้อยู่ในท่านอนหงายราบไปกับพื้น จากนั้นวางแขนทั้งสองข้างไว้แนบลำตัวแล้วค่อยๆทำการดันลำตัวขึ้นพร้อมกับเกร็งหน้าท้องเอาไว้

2.จากนั้นให้ยกขาให้ขึ้นมาอยู่บริเวณหน้าอก แล้วทำการงอเข่าเล็กน้อย จากนั้นก็วางขาราบลงสลับกัน ให้ทำซ้ำ 15 ครั้ง หรือจะมากกว่าน้อยกว่าก็แล้วแต่ความอดทน

ท่าเกร็งท้อง ขาตั้งตรง

ท่าบริหารนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มทำเพราะเป็นท่าที่ง่ายที่สุด และไม่มีข้อจำกัดในการทำ เพราะมีความปลอดภัยสูง

1.เริ่มด้วยการจัดท่าทางให้อยู่ในท่านอนหงายราบกับพื้น แล้ววางแขนแนบชิดกับลำตัว ให้เกร็งหน้าท้องพร้อมๆกับยกขาทั้งสองข้างขึ้นลง ให้ทำซ้ำ 15 ครั้ง หรือจะมากจะน้อยแล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

สาวๆที่ต้องการท่าในการออกกำลังลดหน้าท้องด้วยการออกกำลังกายแบบง่ายๆ วันนี้คงได้ท่าที่ถูกใจบ้างแล้ว ก็อย่าลืมนำไปลองทำกันดูนะค่ะ

ออกกำลังกายลดน้ำหนักแบบเบาๆ สบายๆ แต่ได้ผลชัวร์

ออกกำลังกายลดน้ำหนักแบบเบาๆ สบายๆ แต่ได้ผลชัวร์

การออกกำลังกายลดน้ำหนักแบบเบาๆ เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บใดๆ และเพื่อเป็นการฝึกกล้ามเนื้อให้คุ้นชินกับการออกกำลังการ จนอาจจะเพิ่มความรุนแรงไปถึงขั้นสูงๆ วันนี้เราจะมาแนะนำการออกกำลังกายลดน้ำหนักแบบเบาๆ สบายๆ แต่ได้ผลชัวร์มาฝากกันเลย

Interval Training ลดน้ำหนักได้รวดเร็ว

ไม่ว่าจะใหม่ต่อการออกกำลังกายแค่ไหน หรือว่าคุณจะออกกำลังกายทุกวันจนชิน การฝึก Interval Training สามารถช่วยให้ร่างกายฟิตขึ้น และเป็นการออกกำลังกายลดหนัก

วิธีในการฝึก

เป็นการสลับระดับของการออกกำลังจากหนักไปเบา และจากเบาไปหนัก การฝึกออกกำลังกายเช่นนี้จะช่วยให้ระบบเผาผลาญออกซิเจนในร่างกายให้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในร่างกายดีมากยิ่งขึ้น

Squat สร้างความแข็งแกร่ง

เป็นการฝึกความแข็งแรงที่สำคัญ ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากก็ยิ่งมีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นเท่านั้น และผู้เชี่ยวชาญก็การสควอตนั้นเป็นหารฝึกกล้ามบริเวณเนื้อต้นขา เอ็นร้อยหวาย และบริเวณกล้ามเนื้อสะโพก แต่ถ้าหากเล่นไม่ถูกต้องนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังจะบาดเจ็บอีกด้วย

วิธีในการฝึก

เริ่มต้นโดยการฝึกบนเก้าอี้โดยนั่งให้หลังพิงพนักพิง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นฝึกโดยให้นั่งที่บนเก้าอี้แล้วคอยๆ จัดระเบียบร่างกายให้อยู่ในท่านั่งเก้าอี้แบบปกติ การทำท่าสควอตเป็นการกำกับรูปร่าง อริยบทให้เหมือนกับการนั่งเก้าอี้ แต่แท้ที่จริงไม่ได้นั่ง

Lunge ฝึกสมดุลร่างกาย

คล้ายๆ กันกับการทำสควอต ท่าลังค์จะช่วยในเรื่องของการบริหารกล้ามเนื้อที่เป็นหลักๆ ของร่างกายบริเวณส่วนล่าง ทั้งกล้ามเนื้อบริเวณต้นขา เอ็นร้อยหวาย และกล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณสะโพก เป็นท่าที่เลียนแบบท่าทางลักษณะการเดิน มันจึงเป็นท่าที่ดีมากๆ ที่จะช่วยสร้างความสมดุลของร่างกายด้วย

วิธีการฝึก

เริ่มจากการก้าวขายาวๆ ออกไปทางด้านหน้า แต่พยายามให้สันหลังอยู่ในท่าที่เป็นธรรมชาติ ให้เข่าด้านหน้างอทำมุม 90 องศา ถ่ายน้ำหนักไปลงที่นิ้วเท้าทางด้านหลังโดยต้องงอเข่าทางด้านหลังให้อยู่ใกล้ๆ กับพื้น เมื่อเกิดความชำนาญแล้ว แทนที่คุณจะต้องก้าวเท้าไปด้านหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ให้ก้าวมาด้านข้างหลังบ้าง และสลับซ้ายขวาบ้าง ส่งผลให้เป็นกล้ามเนื้อได้ประโยชน์ครบในทุกๆ ส่วน

ถ้าคุณออกกำลังกายลดน้ำหนักได้ตาม 3 ท่านี้ อย่างครบถ้วนและเป็นทำได้อย่างประจำละก็ รับรองได้เลยว่ารูปร่างและน้ำหนักจองคนคงจะพอๆ กับผู้ที่ฝึกออกกำลังกายมาเป็นปีๆ ได้อย่างแน่นอน